วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

Lab.6 Surface analysis

Surface analysis

1.การสร้างเส้นชั้นความสูง  (Contour Line)

หมายถึง เส้นจิตนาการของระดับที่คงที่บนพื้นดิน ซึ่งได้จากการลากเส้น คงที่ผ่านจุดต่าง ๆ บนพื้นดินที่มี              ค่าระดับเท่ากัน หรือในบางครั้งอาจเป็นค่าอื่น ๆ ก็ได้ เช่น ปริมาณน้ าฝน หรือระดับความลึก
             ของน้ำเป็นต้น

ประเภทของเส้นชั้นความสูง

1. เส้นชั้นความสูงหลัก (Index contour) 
    ลักษณะมี ขนาดหนากว่าเส้นชั้นความสูงธรรมดา หรือเส้นชั้นความสูงรอง

2. เส้นชั้นความสูงรอง (Intermediate contour) 
    ลักษณะจะเล็กกว่าเส้นชั้นความสูงหลัก

3. เส้นชั้นความสูงแทรก (Supplementary contour) 
    ลักษณะเป็นเส้นประสีน้ำตาล อยู่ระหว่างเส้นชั้นความสูงรอง โดยจะมีค่าครึ่งหนึ่ง

4. เส้นชั้นความสูง (Depression Contour) 
    ลักษณะเส้นชั้นความสูงที่วงบรรจบกันและมีท่อนสั้น ๆ ขีดไว้แนวตั้งฉาก ใช้แสดงลักษณะที่ 
    เป็นหน้าผา ปลายท่อนจะชี้ไปยังจุดที่ต่ำกว่า


เปิดข้อมูลที่ต้องการทำ


รูปที่ 1.1 การสร้างเส้น

เลือกเครื่องมือ Create Contours


รูปที่ 1.2 การสร้างเส้น

คลิกบริเวณที่ต้องการ จะขึ้นเส้นชั้นความสูง (Contour line) แบบในกรอบสีแดง


รูปที่ 1.3 การสร้างเส้น

ถ้าต้องการลบ ให้คลิกขวา กดปุ่ม Delete


รูปที่ 1.4 การสร้างเส้น

Contour  interval หรือ ค่าความต่างของเส้น

Contour แต่ ละเส้นซึ่งถูกกำหนดในแนวดิ่ง  
เช่น เส้น Contour เส้นที่ 100 กับ 101 ความต่าง คือ 1 นั่นคือ 1 เมตร คือ Contour interval

เมื่อกดเข้ามาให้เครื่องมือ Contour  จะแสดงหน้าจอให้กรอกข้อมูล


รูปที่ 1.5 การสร้างเส้น

เลื่อกข้อมูล (1) --> เลือกพื้นที่จัดเก็บข้อมูล (2) --> ตั้งค่า Contour Interval = 50 (3)


รูปที่ 1.6 การสร้างเส้น

จะได้เส้นชั้นความสูงของพื้นที่


รูปที่ 1.7 การสร้างเส้น

ในการปรับตัวหนังสือให้ใหญ่และดูง่ายขึ้น
คลิกขวาที่ข้อมูล --> Properties (เพื่อแก้ไขข้อมูล)


รูปที่ 1.8 การสร้างเส้น

ไปที่ Labels (1) --> labels features in the layer(2) --> เลือก Label field เป็น CONTOUR (3) -->
ปรับขนาดตัวหนังสือ(4) --> OK


รูปที่ 1.9 การสร้างเส้น

จะได้ภาพที่แสดงเส้นขั้นความสูงและเห็นตัวเลขการบอกเส้นชั้นความสูงชัดเจนขึ้น


รูปที่ 1.10 การสร้างเส้น


2.การวิเคราะห์แนวการมองเห็น (Line  Of  Sight)

คือ แนวการมองเห็น ใช้สำหรับวิเคราะห์การมองเห็นว่าพื้นที่ใดสามารถมองเห็นได้บนพื้นผิวจากตำแหน่งต่าง ๆ ใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆ เช่น การประเมินพื้นที่เพื่อวางแผนตั้งกองกำลังทหาร การสร้างหอคอย และการสร้างหอสื่อสาร เป็นต้น สีของเส้นจะบอกตำแหน่งพื้นผิวที่ สามารถมองเห็นได้ (สีเขียว) และไม่สามารถมองเห็น (สีแดง)

เส้นสีแดง และเส้นสีเขียวแทน
เส้นสีแดง (Obstructed area) บริเวณที่ถูกกีดขวางจากจุดสังเกตุ
เส้นสีเขียว (Visible area) บริเวณที่สามารถมองเห็นจากสุดสังเกตุ

จุดสีดำ สีน้ำเงิน และสีแดงแทน
จุดสีดำ (Observer location) ตำแหน่งจุดสังเกตุ
จุดสีน้ำเงิน (Obstruction point) ตำแหน่งที่ถูกกีดขวางจากตำแหน่ง จุดสังเกตุไปยังตำแหน่งเป้าหมาย
จุดสีแดง (Target location) ตำแหน่งเป้าหมาย

คลิกเลือกเครื่องมือ Create line of sight

รูปที่ 2.2 การวิเคราะห์แนวการมองเห็น

ลากจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง จะขึ้นเป็นเส้นตามรูป


รูปที่ 2.3 การวิเคราะห์แนวการมองเห็น

ลากหลายๆเส้นเมื่อเปรียบเทียบการมองเห็น คือ จุดสีเขียวคือบริเวณที่สามารถมองเห็นจากสุดสังเกตุ


รูปที่ 2.4 การวิเคราะห์แนวการมองเห็น

จุดสีน้ำเงิน (Obstruction point) ตำแหน่งที่ถูกกีดขวางจากตำแหน่ง จุดสังเกตุไปยังตำแหน่งเป้าหมาย


รูปที่ 2.1 การวิเคราะห์แนวการมองเห็น


3.การวิเคราะห์ทิศทางการไหล (Steepest Path)

เป็นการประเมินรูปแบบการกลิ้ง (Runoff patterns) ของวัตถุจากแบบจำลองพื้นผิวโดยจะดูทิศทางการไหลของวัตถุที่ถูกปล่อยจากจุดที่กำหนด ไปตามลักษณะของพื้นที่ โดยจะมีเส้นทางการไหลไปจนถึงบริเวณที่มีความลาดชันมากที่สุด

เลือกเครื่องมือ Create Steepest Path


 รูปที่ 3.1 การวิเคราะห์ทิศทางการไหล

คลิกไปตามรูปภาพ จะแสดงทิศทางการไหลของภาพออกมา

รูปที่ 3.2 การวิเคราะห์ทิศทางการไหล


4.การแสดงภาพตัดขวาง (Profile)

ภาพตัดขวาง เป็นการแสดงระดับความสูงของพื้นผิวตามแนวเส้นที่กำหนดภาพตัดขวางสามารถช่วยในการประเมินความยากง่ายของเส้นทาง หรือ ประเมินความเป็นไปได้ในการสร้างถนน หรือทางรถไฟในบริเวณที่กำหนด เป็นต้น

คลิกที่เครื่องมือ Interpolate Line


 รูปที่ 4.1 การแสดงภาพตัดขวาง

ลากเส้นจากมุมหนึ่งไปยังอีกมุมหนึ่ง (ตามในกรอบสีแดง)


รูปที่ 4.2 การแสดงภาพตัดขวาง

เลือกเครื่องมือ Create Profile Graph จะขึ้นกราฟ Profile Graph Title


 รูปที่ 4.3 การแสดงภาพตัดขวาง

คลิกขวาที่รูปภาพ เลือก Properties


รูปที่ 4.4 การแสดงภาพตัดขวาง

เลือกเครื่องมือ Create Profile Graph จะขึ้นกราฟ Profile Graph Title 

รูปที่ 4.5 การแสดงภาพตัดขวาง

จะได้ภาพกราฟเปรียบเทียบข้อมูลของ 2 เส้น


รูปที่ 4.1 การแสดงภาพตัดขวาง


5.การวิเคราะห์ความลาดชั้น (Slope)

ความลาดชัน เป็นการคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงค่าความสูงจากเซลล์หนึ่งไปยังเซลล์ใกล้เคียง 

ความลาดชันสามารถคำนวณและวัดได้ 2 ประเภท ได้แก่
      
 1. เปอร์เซ็นต์ (Percent rise)
             ความลาดชันเป็นเปอร์เซ็นต์ (Percent rise) คำนวณได้จากด้านตรงข้ามมุม (rise) หารด้วย
             ด้านประชิดมุม (run) และคูณด้วย 100 ดังสมการ Slope (percent rise) = (rise/run)*100
        
 2. องศา (Degree)
             ความลาดชันเป็นองศา คำนวณได้จาก Slope (degree) = θ tanθ= rise/run 

ความลาดชันสามารถสร้างหรือค านวณมาจากข้อมูลความสูง ซึ่งจะอยู่ในรูปของข้อมูลแรสเตอร์ หรือแบบจำลองความสูงเชิงเลข (Digital Elevation Model: DEM)

ใช้ความมูลเดิมจากการทำการแสดงภาพตัดขวาง
  - เลือกเครืองมือ Slope (ตามลำดับขั้นตอนหมายเลข)


รูปที่ 5.1 การวิเคราะห์ความลาดชัน

การทำการวิเคราะห์ความลาดชันในรูปแบบ องศา (Degree)
เลือกข้อมูล(1) --> เลือกพื้นที่ที่ต้องการจัดเก็บข้อมูล (2) --> เลือกช่อง Output measurement เป็น DEGREE (3) --> Ok (4)


รูปที่ 5.2 การวิเคราะห์ความลาดชัน

จะได้การวิเคราะห์ความลาดชั้นในรูปแบบ องศา (Degree)

รูปที่ 5.3 การวิเคราะห์ความลาดชัน

การทำการวิเคราะห์ความลาดชันในรูปแบบ เปอร์เซ็นต์ (Percent rise)
เลือกข้อมูล(1) --> เลือกพื้นที่ที่ต้องการจัดเก็บข้อมูล (2) --> เลือกช่อง Output measurement เป็น Percent rise (3) --> Ok (4)


รูปที่ 5.4 การวิเคราะห์ความลาดชัน

จะได้การวิเคราะห์ความลาดชั้นในรูปแบบ องศา (Degree)


รูปที่ 5.5 การวิเคราะห์ความลาดชัน

6.การวิเคราะห์ทิศทางการหันเหของความลาดชัน(Aspect)

ไปที่ ArcToolbox > 3D Analyst Tool > Raster Surface > Aspect


รูปที่ 6.1 การวิเคราะห์ทิศทางการหันเหของความลาดชัน

ช่อง Input raster เลือก idw2
ช่อง Output raster เลือก save ไว้ในโฟเดอร์เรา ตั้งชื่อว่า Aspect
แล้วก็กด Ok


รูปที่ 6.2 การวิเคราะห์ทิศทางการหันเหของความลาดชัน

ผลลัพธ์จะได้ดังภาพ

รูปที่ 6.3 การวิเคราะห์ทิศทางการหันเหของความลาดชัน

เมื่อซูมเข้าไปใกล้ๆจนเห็นพิกเซล แล้วนำเครื่องมือ Identify มาคลิกตรงพิกเซลนั้น จะสามารถรู้องศาที่มันทำมุมได้

รูปที่ 6.4 การวิเคราะห์ทิศทางการหันเหของความลาดชัน


7.การตกกระทบของแสง(Hillshade)

ไปที่ ArcToolbox > 3D Analyst Tool > Raster Surface > Hillshade


รูปที่ 7.1 การตกกระทบของแสง

ช่อง Input raster เลือก idw2
ช่อง Output raster เลือก save ไว้ในโฟเดอร์เรา ตั้งชื่อว่า Aspect
ช่อง Azimuth ใส่ 315
ช่อง Altitude ใส่ 45
แล้วก็กด Ok


รูปที่ 7.2 การตกกระทบของแสง

จะได้ผลลัพธ์ดังภาพ


รูปที่ 7.3 การตกกระทบของแสง

เมื่อซูมเข้าไปใกล้ๆจนเห็นพิกเซล แล้วนำเครื่องมือ Identify มาคลิกตรงพิกเซลนั้น จะสามารถรู้ค่าที่แสงตกกระทบ ตั้งแต่มืดคือ 0 ไปสว่างคือ 225


รูปที่ 7.4 การตกกระทบของแสง

ไปเอาขอบเขตอำเภอกาญจนบุรีออกมา RTArcGIS > KANCHANABURI > Kanburi > AMPHOE > AMPHOEที่เป็นShapefile


รูปที่ 7.5 การตกกระทบของแสง

ให้เปลี่ยนสี แสดงชื่ออำเภอ คลิกขวาที่ AMPHOE > Properties..


รูปที่ 7.6 การตกกระทบของแสง

เลือก Symbology > Categories > Unique Values
ช่อง Values Field
จากนั้นกด Add All Values > ok


รูปที่ 7.7 การตกกระทบของแสง

ทำให้อำเภอสีจาง คลิกขวาอำเภอ > Properties.. > Display > Transparent เปอร์เซ็นมากความโปร่งใสยิ่งมาก


รูปที่ 7.8 การตกกระทบของแสง


8.การวิเคราะห์พื้นที่การมองเห็น(Viewshed)

สร้าง Shapefile เก็บไว้ในโฟเดอร์เราโดย คลิกกขวาที่โฟเดอร์เรา New > Shapefile


รูปที่ 8.1 การวิเคราะห์พื้นที่การมองเห็น

ตั้งชื่อว่า Shapefile 
ช่อง Feature Type เลือกเป็น Point จากนั้นกด Edit


รูปที่ 8.2 การวิเคราะห์พื้นที่การมองเห็น

UTM > Asia > Indian 1975 UTM Zone 47N > Add > ok จากให้ทำการดิจิไทซ์


รูปที่ 8.3 การวิเคราะห์พื้นที่การมองเห็น

การเปลี่ยนสัญลักษณ์ ให้ดับเบิ้ลคลิกที่สัญลักษณ์ของ Shapefile > Style References > 3D Residential > ok > ok


รูปที่ 8.4 การวิเคราะห์พื้นที่การมองเห็น

ไปที่ ArcToolbox > 3D Analyst Tool > Raster Surface > Viewsed


รูปที่ 8.5 การวิเคราะห์พื้นที่การมองเห็น

ช่อง Input raster เลือก idw2
ช่อง Input point or polyline oobserver features เลือก Shapefile (ที่เราทำการดิจิไทซ์)
ช่อง Output raster เลือก save ไว้ในโฟเดอร์เรา ตั้งชื่อว่า Viewshed
จากนั้นกด ok


รูปที่ 8.6 การวิเคราะห์พื้นที่การมองเห็น

จะได้ผลลัพธ์ดังภาพ สีเขียวอ่อน คือพื้นที่ที่มองเห็นได้   สีชมพู คือพื้นที่ที่ไม่สามารถมองเห็นได้


รูปที่ 8.7 การวิเคราะห์พื้นที่การมองเห็น


9.การคำนวณปริมาณปริมาตรในการขุดและถมที่

ไปที่RTArcGIS > Prachinburi > Cut_Fill > ลากเอา DEM_AFTER  และ  DEM_BEFORE ออกมา


รูปที่ 9.1 การคำนวณปริมาณปริมาตรในการขุดและถมที่

สามารถเปลี่ยนสีได้ดังภาพ


รูปที่ 9.2 การคำนวณปริมาณปริมาตรในการขุดและถมที่

ไปที่ ArcToolbox > 3D Analyst Tool > Raster Surface > Cut Fill


รูปที่ 9.3 การคำนวณปริมาณปริมาตรในการขุดและถมที่

ช่อง Input before raster surface เลือก DEM_BEFORE
ช่อง Input after raster surface เลือก DEM_AFTER
ช่อง Output raster เลือก save ไว้ในโฟเดอร์เรา ตั้งชื่อว่า Cut_Fill
จากนั้นกด ok


รูปที่ 9.4 การคำนวณปริมาณปริมาตรในการขุดและถมที่

จะได้ผลลัพธ์ดังภาพ สีแดง(Net gain) คือถมเพิ่ม  สีเทา(Unchanged) คือไม่มีการปลี่ยนแปลง สีน้ำเงิน(Net loss) คือขุดออก


รูปที่ 9.5 การคำนวณปริมาณปริมาตรในการขุดและถมที่

เปิดตาราง คลิกขวาที่ Cut_Fil > Open Attribute Table


รูปที่ 9.6 การคำนวณปริมาณปริมาตรในการขุดและถมที่

ช่อง COUNT คือ บอกจำนวนกริดหรือพิกเซล
ช่อง VOLUME คือ ปริมาตร
ช่อง AREA คือ พื้นที่หน่วยเป็นตารางเมตร


รูปที่ 9.7 การคำนวณปริมาณปริมาตรในการขุดและถมที่

ถ้ากดเลือกตารางใดพื้นที่นั้นก็จะเป็นสีฟ้า แสดงให้รู้ว่าเรากำลังเลือกพื้นที่ใดอยู่


รูปที่ 9.8 การคำนวณปริมาณปริมาตรในการขุดและถมที่


VDO

ขั้นตอนการทำ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น