วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Lab.5 การประมาณค่าช่วง (Interpolation)

การประมาณค่าช่วง (Interpolation)

       เป็นการทำนายค่าให้กับเซลล์ในแรสเตอร์ จากข้อมูลตัวอย่างที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้ทำนายค่าที่ไม่ทราบได้จากจุดใดๆ เช่น จุดความสูง ปริมาณน้ำฝน เป็นต้น


* สาเหตุที่ต้องการประมาณค่าช่วง เนื่องจากการเข้าไปในพื้นที่เพื่อเก็บค่าความสูง ขนาด หรือความ
เข้มข้นของสารเคมีเป็นไปได้ยากมาก หรืออาจมีต้นทุนในการดำเนินการแพงมาก

การประมาณค่าช่วงข้อมูลจุดที่ใช้มีหลายวิธี ดังนี้


1.   IDW (inverse Distance Weight)


              เป็นการประมาณค่าโดยทำการสุ่มจุดตัวอย่างแต่ละจุดจากตำแหน่งที่สามารถส่งผลกระทบไปยังเซลล์ที่ต้องประมาณค่าได้ ซึ่งจะมีผลกระทบน้อยลงเรื่อง ๆ ตามระยะทางที่ไกลออกไป



-  เหมาะกับตัวแปรที่อ้างอิงกับระยะทางในการคำนวณ ยิ่งใกล้ยิ่งมีอิทธิพลมาก เช่น ความดังของ

เสียง ความเข้มข้นของสารเคมี


เปิดแฟ้มข้อมูล Kanchanaburi --> Kanchanaburi  --> SPOT --> เลือกข้อมูลจุด (SPOT)



ภาพที่ 1.1 การทำ IDW


จะได้ข้อมูลจุด (SPOT)


ภาพที่ 1.2 การทำ IDW


ถ้าต้องการเช็คข้อมูล ให้คลิกขวาที่ข้อมูล --> Open Attribute Table


ภาพที่ 1.3 การทำ IDW


จะได้ข้อมูลของชั้นข้อมูลจุด (SPOT)


ภาพที่ 1.4 การทำ IDW


คลิกเลือก Tools Box --> (1) Spatial Analyst Tools --> (2)Interpolation --> (3)IDW


ภาพที่ 1.5 การทำ IDW


ตั้งค่าตามลำดับหมาย 1 - 5 โดย (1)ELEVATION --> (2)ตั้งโฟล์เดอร์ที่จะจัดเก็บ --> (3) เลือก 40 
(4)12 --> (5)OK


ภาพที่ 1.6 การทำ IDW


ภาพที่ได้จากการทำ IDW


ภาพที่ 1.7 การทำ IDW


การเปลี่ยนสีข้อมูล คลิกขวาที่ข้อมูล(IDW) --> Properties


ภาพที่ 1.8 การทำ IDW


เลือก Symbology --> Stretched --> เลือกสีที่ต้องการ


ภาพที่ 1.9 การทำ IDW


เลือกข้อมูล Province เพื่อสร้างขอบเขตให้กับข้อมูลจุด


ภาพที่ 1.10 การทำ IDW


ให้ตั้งค่า Environments


ภาพที่ 1.11 การทำ IDW


เปลี่ยนข้อมูลที่ช่อง Processing Extent --> เปลี่ยนเป็น Same as layer Province 


ภาพที่ 1.12 การทำ IDW


เปลี่ยนข้อมูลตรงช่อง Raster Analysis --> Mask เปลี่ยนเป็นข้อมูลที่เหมือนกัน (Province)


ภาพที่ 1.14 การทำ IDW


จะได้ภาพขอบเขตที่เราต้องการ


ภาพที่ 1.15 การทำ IDW



2. Natural Neighbors

หลักการของ  Natural Neighbors คือ การสร้าง Subset ที่อยู่ใกล้จุดตัวอย่างมากที่สุด จากนั้นจะทำการแทรกค่าโดย

-  เหมาะกับจุดตัวอย่างที่มีการกระจายตัวแบบ  ไม่แน่นอน

เลือกเครื่องมือ Tools Box --> (1) Spatial Analyst Tools --> (2)Interpolation --> (3) Natural Neighbors


ภาพที่ 2.1 การทำ Natural Neighbors


ตั้งค่าตามลำดับหมาย 1 - 5 โดย (1)ELEVATION --> (2)ตั้งโฟล์เดอร์ที่จะจัดเก็บ --> (3) เลือก 40 

(4)12 --> (5)Environments


ภาพที่ 2.2 การทำ Natural Neighbors


เปลี่ยนข้อมูลที่ช่อง Processing Extent --> เปลี่ยนเป็น Same as layer Province 


ภาพที่ 2.3 การทำ Natural Neighbors


เปลี่ยนข้อมูลตรงช่อง Raster Analysis --> Mask เปลี่ยนเป็นข้อมูลที่เหมือนกัน (Province)


ภาพที่ 2.4 การทำ Natural Neighbors


จะได้ข้อมูลจากการทำ Natural Neighbors


ภาพที่ 2.5 การทำ Natural Neighbors




3. Spline

เป็นวิธีการแทรกค่าให้พอดีกับพื้นผิวที่มีความโค้งเว้าอย่างน้อยตามจุดข้อมูลตัวอย่างที่นำเข้ามา เหมือนการบิดงอของแผ่นยางผ่านจุดตัวอย่างโดยพยายามให้อย่างน้อยความโค้งทั้งหมดเข้าหาจุดตัวอย่างเหล่านั้นมาเป้นพื้นผิว


วิธี Spline เป็นการนำสมการทางคณิตศาสตร์มาใช้ในการคำนวณเหมาะกับพื้นผิวที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น ความสูง ความลึกของพื้นที่

 1. Regularized  Spline เป็นเทคนิคที่ทำให้ผลลัพธ์ที่มีความเรียบของข้อมูลมีการเพิ่มขึ้น หรือลดลง                                           แบบค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น 
  2.Tension Spline เป็นเทคนิคที่มีการควบคุมความแข็งกระด้างของพื้นผิว ให้เป็นไปตามลักษณะของ                                 ปรากฏการณ์ โดยผลลัพธ์ที่ได้มีความเรียบน้อย กว่าแบบ Regularize


Regularized  Spline


เลือกเครื่องมือ Tools Box --> (1) Spatial Analyst Tools --> (2)Interpolation --> (3) Spline



ภาพที่ 3.1.1 การทำ Regularized  Spline




ตั้งค่าตามลำดับหมาย 1 - 7 โดย (1)SPOT --> (2)ELEVATION --> (3)ตั้งโฟล์เดอร์ที่จะจัดเก็บ --> 

(4)40 --> (5)Regularized  Spline --> (6)Environments --> (7) OK




ภาพที่ 3.1.2 การทำ Regularized  Spline


เปลี่ยนข้อมูลที่ช่อง Processing Extent --> เปลี่ยนเป็น Same as layer Province 


ภาพที่ 3.1.3 การทำ Regularized  Spline


เปลี่ยนข้อมูลตรงช่อง Raster Analysis --> Mask เปลี่ยนเป็นข้อมูลที่เหมือนกัน (Province)


ภาพที่ 3.1.4 การทำ Regularized  Spline


จะได้ข้อมูลจากการทำ Regularized  Spline


ภาพที่ 3.1.5 การทำ Regularized  Spline

Tension Spline

ตั้งค่าตามลำดับหมาย 1 - 5 โดย (1)SPOT -->(2) ELEVATION --> (3)ตั้งโฟล์เดอร์ที่จะจัดเก็บ
 --> (4)40 --> (5)Regularized  Spline --> (6)Environments --> (7) OK


ภาพที่ 3.2.1 การทำ Tension Spline


จะได้ข้อมูลจากการทำ Tension Spline


ภาพที่ 3.2.2 การทำ Tension Spline






4.Kriging

เป็นวิธีการประมาณค่าชว่งขั้นสูง โดยการใช้กระบวนการทางสถิติและ สมการทางคณิตศาสตร์เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์

เปิดArcToolbox > Spatial Analyst Tools > Interpolation > Kriging


 ภาพที่4.1 การทำ Kriging


หมายเลข 1 : ช่อง Input point features เลือก SPOT
หมายเลข 2 : ช่อง Z value field เป็นการเลือกค่าที่เราต้องการจะ Interpolate เลือก ELEVATION
หมายเลข 3 : ช่อง Output surface raster เลือกที่เก็บ ตั้งชื่อ
หมายเลข 4 : ช่อง Output cell size คือให้กำหนดขนาดของกริดตามการนำไปใช้งาน เลือก 40
หมายเลข 5 : ช่อง Environments เป็นการกำหนดขอบเขตของผลลัพธ์

 ภาพที่ 4.2 การทำ Kriging


เมื่อกด  Environments เข้าไปจะปรากฎหน้าต่างดังภาพ ให้ไปกดที่ Processing Extent คือการกำหนดขอบเขตในการประมวลผล ช่อง Extent คืออยากให้ขอบเขตเหมือนกับอะไรก็เปลี่ยนเป็นตัวนั้น ในที่นี้เปลี่ยนเป็น Same as layer PROVINCE


 ภาพที่ 4.3 การทำ Kriging


ต่อมาให้มากดที่ Raster Analysis ช่อง Mask เปลี่ยนเป็น PROVINCE ให้เหมือนกับ ช่อง Extent > Ok > Ok


ภาพที่ 4.4 การทำ Kriging


ผลลัพธ์ที่ได้


ภาพที่ 4.5 การทำ Kriging




5.Trend

วิธีนี้จะท้าการเลือกสมการทางคณิตศาสตร์ที่เหมาะสม โดยการระบุล้าดับ ของพีชคณิต (Polynomial) ให้กับจุดตัวอย่างทั้งหมด

Trend เปรียบได้กับการน้าเอากระดาษไปวางไว้บนจุดตัวอย่าง ซึ่งพื้นผิว ที่ได้จะมีความสอดคล้องกับความสูงของจุดตัวอย่างนั่นเอง

ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นพื้นผิวที่มีความแปรปรวนต่้า สัมพันธ์กับจุดตัวอย่าง และต่อเนื่องตามแนวโน้มข้อมูล

เปิดArcToolbox > Spatial Analyst Tools > Interpolation > Trend


ภาพที่ 5.1 การทำ Trend


หมายเลข 1 : ช่อง Input point features เลือก SPOT
หมายเลข 2 : ช่อง Z value field เป็นการเลือกค่าที่เราต้องการจะ Interpolate เลือก ELEVATION
หมายเลข 3 : ช่อง Output surface raster เลือกที่เก็บ ตั้งชื่อ
หมายเลข 4 : ช่อง Output cell size คือให้กำหนดขนาดของกริดตามการนำไปใช้งาน เลือก 40
หมายเลข 5 : ช่อง Polynomial order เป็นการกำหนดค่ายกกำลัง เช่น ถ้ามีข้อมูล 1 ที่ จะเป็นยกกำลัง2
ถ้าเป็น 2 ที่ จะเป็นยกกำลัง 3 ในช่องนี้จะใส่ยกกำลังสูงสุดได้ถึง ยกกำลัง 12
หมายเลข 6 : ช่อง Environments เป็นการกำหนดขอบเขตของผลลัพธ์

ตัวอย่าง เลือกยกกำลัง 2 


ภาพที่ 5.2 การทำ Trend


เมื่อกด  Environments เข้าไปจะปรากฎหน้าต่างดังภาพ ให้ไปกดที่ Processing Extent คือการกำหนดขอบเขตในการประมวลผล ช่อง Extent คืออยากให้ขอบเขตเหมือนกับอะไรก็เปลี่ยนเป็นตัวนั้น ในที่นี้เปลี่ยนเป็น Same as layer PROVINCE


ภาพที่ 5.3 การทำ Trend


ต่อมาให้มากดที่ Raster Analysis ช่อง Mask เปลี่ยนเป็น PROVINCE ให้เหมือนกับ ช่อง Extent > Ok > Ok


ภาพที่ 5.4 การทำ Trend


ผลลัพธ์ที่ได้จากการเลือกเป็นลกกำลัง 2


ภาพที่ 5.5 การทำ Trend


ตัวอย่าง เลือกยกกำลัง 12


ภาพที่ 5.6 การทำ Trend


ผลลัพธ์ที่ได้จากการเลือกเป็นลกกำลัง 12


ภาพที่ 5.7 การทำ Trend



6.Topo to Raster

เป็นวิธีการที่ออกแบบมาเพื่อสร้างแบบจ้าลองความสูงเชิงเลขทางอุทก-ศาสตร์ (Hydrological correct digital elevation model: DEMs) โดยใช้ข้อมูลเส้น Contour

วิธีTopo to Raster ใช้ตัวแปลหลายตัว มี 6 ตัวแปลที่นำมาใช้ทำTopo to Raster คือ
1.ข้อมูลจุดความสูง 
2.ข้อมูลเส้นชั้นความสูง (Contour)
3.ข้อมูลเส้นทางน้ำ (Strem)
4.ข้อมูลหลุมหรือบ่อน้ำ (Sink)
5.ข้อมูลสระน้ำหรือทะเลสาป (Lake)
6.ข้อมูลขอบเขต(Boundary)
ไม่จำเป็นต้องเอามาครบทั้ง 6 ตัวแปลก็ทำTopo to Raster ได้ แต่จะขาดข้อมูลเส้นชั้นความสูง (Contour)ไม่ได้

ไปที่ Folder KANCHANABURI > Kanburi > ลากเอา STREAM,CONTOUR,SPOTและ PROVINCE
ที่เป็นโพลิกอนมาเปิด


ภาพที่ 6.1 การทำ Topo to Raster


เปิดArcToolbox > Spatial Analyst Tools > Interpolation > Topo to Raster


ภาพที่ 6.2 การทำ Topo to Raster


ช่อง Input feature data เลือกข้อมูล คือ SPOT,CONTOUR,STREAM และ PROVINCE
คลิกที่ช่อง Field ของ SPOT เลือกเป็น ELEVATION 
คลิกที่ช่อง Type ของ SPOT เลือกเป็น PointElevation
คลิกที่ช่อง Field ของ CONTOUR เลือกเป็น ELEVATION
คลิกที่ช่อง Type ของ CONTOUR เลือกเป็น Contour
คลิกที่ช่อง Field ของ STREAM เลือกเป็น None
คลิกที่ช่อง Type ของ STREAM เลือกเป็น Stream
คลิกที่ช่อง Field ของ PROVINCE เลือกเป็น None
คลิกที่ช่อง Type ของ PROVINCE เลือกเป็น Boundary
ช่อง Output surface raster เลือกที่save ตั้งชื่อ
ช่อง Output cell size เลือก 40
จากนั้นกด Ok

ภาพที่ 6.3 การทำ Topo to Raster


ผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Topo to Raster


ภาพที่ 6.4 การทำ Topo to Raster



การสร้าง TIN

โครงข่ายสามเหลี่ยมหรือ TINs เป็นโครงสร้างข้อมูลเวกเตอร์ที่เก็บและ แสดงแบบจ้าลองพื้นผิว
TINs จะประกอบด้วย Node จ้านวนมาก ซึ่งเก็บค่า Z เอาไว้ แต่ละ Node จะเชื่อมต่อด้วยเส้น เรียกว่า Edge
Edge ของ TINs จะต่อเนื่องกันและสามารถใช้ระบุต้าแหน่งของข้อมูลที่ ต้องการได้

เปิดArcToolbox > 3D Analyst Tools > TIN Management > Create TIN


ภาพที่ 1.1 การสร้าง TIN


ช่อง Output TIN เลือกที่save ตั้งชื่อ
ช่อง Input Feature Class เลือกข้อมูล คือ SPOT,CONTOUR,STREAM และ PROVINCE
คลิกที่ช่อง height_field ของ SPOT เลือกเป็น ELEVATION
คลิกที่ช่อง SF_type ของ SPOT เลือกเป็น masspoints
คลิกที่ช่อง tag_field ของ SPOT เลือกเป็น ELEVATION
คลิกที่ช่อง height_field ของ CONTOUR เลือกเป็น ELEVATION
คลิกที่ช่อง SF_type ของ CONTOUR  เลือกเป็น hardline
คลิกที่ช่อง tag_field ของ CONTOUR  เลือกเป็น None
คลิกที่ช่อง height_field ของ STREAM เลือกเป็น None
คลิกที่ช่อง SF_type ของ STREAM   เลือกเป็น softline
คลิกที่ช่อง tag_field ของ STREAM   เลือกเป็น None
คลิกที่ช่อง height_field ของ PROVINCE เลือกเป็น None
คลิกที่ช่อง SF_type ของ PROVINCE  เลือกเป็น hardline
คลิกที่ช่อง tag_field ของ PROVINCE   เลือกเป็น None
จากนั้นกด Ok

ภาพที่ 1.2 การสร้าง TIN


ผลลัพธ์จะได้ภาพแบบนี้


ภาพที่ 1.3 การสร้าง TIN


เมื่อซูมเข้าไปดูใกล้ๆจะเห็นภาพเป็นโครงข่ายแบบนี้


ภาพที่ 1.4 การสร้าง TIN


วิธีเอาเส้นที่อยู่ในภาพออก คลิกขวาที่ชั้นข้อมูลTIN > Properties


ภาพที่ 1.5 การสร้าง TIN


เลือก Symbology > ติ๊กเครื่องหมายถูกออกจาก Edge types > Ok


ภาพที่ 1.6 การสร้าง TIN


ผลลัพธ์ที่ได้จากการเอาเส้นออก


ภาพที่ 1.7 การสร้าง TIN



VDO

ขั้นตอนการทำ